วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2566

ค่ายภูเรือหรือภูหลอน

 ค่ายภูเรือหรือภูหลอน


ภูเรือเป็นสภานที่ท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องอยากมากางเต็นท์กันโดยเฉพาะฤดูหนาวเพราะที่นี่ยอดภูเรือในตอนเช้ามืดก็จะมีคนคอยไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ปล่อยแสงอันสีส้มออกแดงมาทีละนิดจนเห็นเต็มดวง และผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้มากางเต็นท์ทำกิจกรรมกับอาจารย์และเพื่อน ๆ ต้องบอกไว้ก่อนค่ะว่าก่อนหน้านี้ได้ไปจัดค่ายมาที่โรงเรียนพระแก้วอาสาวิทยาในช่วงเช้าและช่วงบ่ายอาจารย์ได้พาแวะวัดเนรมิตวิปัสสนา พระธาตุศรีสองรักและมุ่งตรงมาที่ภูเรือเพื่อกางเต็นท์นอนกันและทำกิจกรรมกันต่อที่นี่  


พอถึงที่พักกันแล้วนักศึกษาก็พากันขนของลงจากรถและไปจับจองที่นอนกันอย่างทุลักทุเลเพราะจุดกางเต็นท์นั้นอยู่เนินเขา บางคนปูที่นอนเรียบร้อยแล้วก็นอนพักเอาแรงเพื่อตอนเย็นจะได้ทำกิจกรรมต่อ บางคนก็ถ่ายรูป เดินสำรวจพื้นที่บ้าง ส่วนตัวผู้เขียนนี้ได้ไปคุยเล่นกับเพื่อน ๆ ตามประสาสาว ๆ พูดหยอกล้อกันไปมีเรื่องผีบ้างแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะมันอยู่กันตั้งเยอะเลยไม่กลัว เวลาผ่านไปจนพลบค่ำอาจารย์ก็บอกว่าให้ไปกินข้าวเราจะได้มาทำกิจกรรมและรีบเข้านอนเพราะทุกคนก็น่าจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง กิจกรรมในคืนนั้นเราได้นั่งคุยกันกับรุ่นพี่ว่าได้อะไรจากการจัดค่ายนี้และมีปัญหาในด้านใดบ้างจะได้นำไปพัฒนาและจัดในค่ายต่อไป และมีการแสดงคณะตลกอีกสองคณะที่เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างสนุกสนาน จนเวลาผ่านไปดึกดื่นอากาศเริ่มเย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย หมอกในตอนกลางคืนได้พรมมาที่ผมทำให้หัวเย็นราวกับแช่อยู่ในตู้น้ำแข็ง เมื่อถึงเวลางานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา คืนนี้ก็เช่นกันต่างคนก็ต้องไปอาบน้ำเข้านอน ผู้เขียนกับเพื่อน ๆ ได้ทำธุระส่วนตัวและได้เข้านอนกัน แต่ก่อนนอนผู้เขียนได้บอกกับเพื่อน ๆ ว่าอย่าลืมไหว้เจ้าที่เจ้าทางกันนะ และก็ได้หลับไปก่อนคนอื่น ๆ กลางดึกไม่มีเสียงแม้แต่ลมหรือเสียงสิ่งมีชีวิตใดๆเลย ยกเว้นเสียงกรนของเพื่อนผู้เขียนเองที่นอนอยู่ฝั่งขวามือ ในตอนนั้นสะดุ้งตื่นเพราะหนาวมากผ้าห่มที่ห่มไว้ตอนแรกได้หลุดออกจากตัว จึงตื่นขึ้นมาและห่มผ้าแต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับ พลิกซ้ายพลิกขวานับแกะไปร้อยตัวก็นอนไม่หลับ จนมาจบที่นอนหงาย ต้องบอกไว้ก่อนว่าผู้เขียนนอนตรงกลางและเพื่อนอีกสองคนนอนฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเต็นท์ที่พวกเรานอนกันจะเปิดไว้และปิดแค่มุ้ง ถ้าเกิดมองออกไปก็เห็นข้างนอกเลย และจู่ ๆ ในขณะที่กำลังพยายามหลับนั้นผู้เขียนได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรอยู่หน้าเต็นท์ที่พูดแต่ไม่ใช่ภาษาคนจึงพยายามฟังว่าใช่เสียงคนไหมแต่ก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงก้าวเดินตาของผู้เขียนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะหรี่ตามองดูว่ามันคืออะไรจึงตัดสินใจจะไปปลุกเพื่อนที่นอนกรนอยู่ข้าง ๆ แต่แล้วมือยังไม่ทันได้เอื้อมไปถึงเพื่อนก็มีเสียงมาพูดอยู่ข้างหูและพูดชื่อผู้เขียนออกมาด้วยน้ำเสียงช้า ๆ เยือกเย็นและเสียงใหญ่ พอได้ยินเช่นนั้นแล้วผู้เขียนได้หยุดนิ่งตัวแข็งทื่ออย่างกับขอนไม้ จะขยับตัวไปหาเพื่อนทางด้านซ้ายก็ไม่กล้า ได้แต่นอนหงายอยู่อย่างงั้นในหัวไม่ได้คิดอะไรนอกจากสวดมนต์ทุกบทที่จำได้ และคิดในใจว่านี่เราเจอดีเข้าแล้วเหรอ ไหว้เจ้าที่เจ้าทางก็ทำแล้ว ทำไมถึงเจอแบบนี้ ภาวนาให้เช้าไว ๆ เพื่อที่จะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ แต่เวลาในตอนนั้นช่างเนิ่นนานยิ่งรอยิ่งช้า และก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นเวลาเท่าไหร่ไม่กล้าแม้แต่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและได้หลับไปตอนไหนไม่รู้ จนรู้สึกตัวอีกทีเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นทีละเต็นท์ และเสียงคนคุยกันเบา ๆ เสียงคนเดินเหยียบใบไม้ผ่านเต็นท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ในใจตอนนั้นดีใจมากเราผ่านคืนนั้นมาได้และเพื่อนถามว่าเป็นยังไงบ้างหลับสบายไหม เราไม่อยากจะตอบเลยตอนนั้นเลยเก็บเรื่องนี้ไว้ และไปทำธุระส่วนตัวต่อพร้อมที่จะเผชิญลมหนาวที่ยอดภูเรือ 



        เวลาประมาณตีห้าเกือบหกโมงผู้คนก็เต็มยอดภูเรืออากาศตอนนั้น16องศา ลมพัดกระทบหูเหมือนเสียงพายุฝนที่กำลังตกแต่ไม่ใช่นั่นก็แค่ลม ใบของต้นสนที่ต้นทอดสูงยาวได้ปลิวไปมาตามกระแสลม  มองไปทางไหนก็มีแต่คนจับโทรศัพท์กัน เพื่อรอถ่ายพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นมาจากขอบฟ้าในอีกไม่ช้า และแล้วเวลานั้นก็มาถึงทุกคนต่างจ้องไปที่ขอบฟ้า ที่สีมันเริ่มเปลี่ยนจากสีหมอกเป็นสีแดงส้มโทนอุ่น ดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นมานั้นมีขนาดใหญ่กว่าเวลาที่เราเห็นในตอนกลางวัน ไม่แปลกใจเลยทำไมผู้เขียนถึงได้ชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม บวกกับทะเลหมอกในยามเช้าที่มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวที่ธรรมชาติสร้างขึ้นพร้อมกับกลิ่นอายหมอกที่ทำให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดภาพในดวงตาเหมือนกับคำขวัญจังหวัดเลยที่ว่า เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ทำให้เรารู้สึกได้ว่านี่เป็นการเริ่มวันใหม่ที่เราต้องเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ ปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมาเป็นเรื่องของอดีต มันจะทำให้เรามีความสุขขึ้นหลังจากนี้วันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว หลังจากทุกคนได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เดินขึ้นไปเนินเขาอีกนั้นจะมีประดิษฐานพระพุทธรูปนาวาบรรพตอยู่ให้เราได้ไปกราบไหว้สักการะบูชาขอพรก่อนกลับอีกด้วย 


                               

ในค่ายภูเรือนี้ได้ทั้งความรู้ความสนุกสนานและความหลอนกลับไป แต่ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ได้พานักศึกษาออกมามาหาประสบการณ์นอกพื้นที่ ทำให้ได้เรียนรู้หลายอย่าง ได้ทั้งความสุขจากค่ายและความสุขจากธรรมชาติ มันคงจะเป็นค่ายที่ผู้เขียนนั้นได้จดจำไปตลอดชีวิตไม่มีวันลืม





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ออกค่ายหาประสบการณ์อ่านใบลานนับร้อยปี

  ออกค่ายหาประสบการณ์อ่านใบลานนับร้อยปี สวัสดีค่ะนักอ่านทั้งหลาย วันนี้ผู้เขียนมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง เท้าความก่อนว่าเมื่อวันที่25กุมภาพันธ์...