วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2566

ออกค่ายหาประสบการณ์อ่านใบลานนับร้อยปี

 ออกค่ายหาประสบการณ์อ่านใบลานนับร้อยปี


สวัสดีค่ะนักอ่านทั้งหลาย วันนี้ผู้เขียนมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง เท้าความก่อนว่าเมื่อวันที่25กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาผู้เขียนได้ออกค่ายเพื่อไปหาประสบการณ์จากใบลาน ซึ่งเพื่อนๆเคยได้ยินหรือเคยเห็นใบลานกันบ้างไหมคะ ส่วนตัวผู้เขียนนี้ได้ยินแต่ชื่อและเคยเห็นรูปภาพจากการสอนของอาจารย์ พอได้เห็นของจริงที่มีอายุมากกว่าร้อยปีก็แอบตกใจอยู่เหมือนกันค่ะว่าร้อยกว่าปีแล้วทำไมบางใบลานยังคงสภาพที่ดีอยู่และอาจจะมีบางส่วนที่ขาดหายไปตามช่วงเวลา ใครที่ยังไม่เคยสัมผัสหรือไม่เคยเห็นวันนี้ผู้เขียนจะมาบรรยายให้ฟังกันจนเห็นภาพกันเลยค่ะ


สำหรับใบลานที่ผู้เขียนได้ไปสัมผัสนั้นอยู่ใน วัดจอมมณี บ้านนาหมูม่น หมู่ 2 ตำบลนาดี อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นวัดที่ไม่มีชื่อเสียงในสถานที่ท่องเที่ยวแต่วัดนี้มีอะไรให้เราได้เรียนรู้หลายอย่าง ภายในวัดก็เหมือนวัดป่าทั่วไปค่ะ แต่จะมีศาลาหนึ่งที่สร้างด้วยไม้ที่เหมือนจะทรุดโทรมตามการเวลา ในศาลานั้นมีคัมภีร์ใบลานที่อายุนับร้อยปีอยู่มากมาย เมื่อผู้เขียนเดินทางถึงวัดแล้วก็ได้ขึ้นไปบนศาลาที่ทางขึ้นนั้นมีเสียงอี๊ด อี๊ด น่าจะเกิดจากการไม้ที่สร้างมานานพอสมควร และขึ้นไปแล้วก็ได้พบกับกองใบลานที่เยอะมาก ในความที่มันซ้อนกันอยู่นั้นก็มีความคิดอยู่ว่าถ้าได้อ่านหมดนี่คงเป็นลมก่อนอ่านจบแน่ๆ เพราะเราก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นยังเป็นเด็กฝึกหัดอยู่ กองใบลานนั้นมีทั้งฝุ่นเกาะจนแทบจะไม่เห็นตัวหนังสือ เวลาจับขึ้นมาเสื้อผ้าต้องเปื้อนฝุ่นถุงมือสีขาวก็กลายเป็นสีดำ เรื่องอากาศก็พอได้เพราะที่ศาลากว้างและลมเพลมพัดตลอดวัน




 ได้เวลาลงมือเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้ว ในค่ายนี้เราได้แบ่งหน้าที่กันออกไปทำหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมาย มีทั้งคัดแยกใบลาน เช็ดใบลานให้สะอ่าน อ่านชื่อเรื่องและเขียนไว้ให้อยู่หมวดเดียวกัน ซ่อมใบลาน และสุดท้ายห่อใบลาน ทั้งหมดนี้ถ้าใครทำหน้าที่ตัวเองเสร็จแล้วก็สามารถมาช่วยเพื่อนได้ ส่วนตัวผู้เขียนนี้มีหน้าที่อ่านใบลานทีแรกนึกว่าจะทำไม่ได้เพราะของจริงตัวหนังสือแต่ละคนก็เหมือนคนปัจจุบันที่มีทั้งตัวหนังสือที่สวยงามและตัวหนังสือที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ในแต่ละขั้นตอนต้องพิถีพิถันสุดๆ เช่นการที่เราแยกใบลานเราต้องจับเบาๆ เพราะใบลานนี้มีอายุเก่าแก่มันจะขาดได้ง่าย และต่อมาการเช็ดใบลานในขั้นตอนนี้เราต้องมือเบาเช็ดให้ฝุ่นที่เกาะตัวหนังสือออกให้หมดเพื่อที่จะส่งให้คนอ่านอ่านได้ง่าย แต่การอ่านเราต้องดูให้ดีดูให้ชัดเพราะมันเป็นชื่อเฉพาะทั้งนั้น การหาชื่อเรื่องจากใบลานนั้นก็หาจากปกหน้าหรือใบหลบหน้าหรือปกหลัง ใบหลบหลังนั่นเองค่ะ อ่านเสร็จแล้วเราก็เขียนชื่อเรื่องและนำไปแยกกันไว้ตามหมวดหมู่ถ้าหากผูกไหนขาดก็ซ่อมให้เรียบร้อย ลืมบอกค่ะว่าผูกในที่นี้หมายถึงลักษณนามเรียกหนังสือใบลานที่ร้อยหูไว้มัดหนึ่ง ๆ ว่า คัมภีร์เทศนาผูกหนึ่ง หลังจากที่เราได้ชื่อเรื่องหมดแล้วก็นำไปห่อเก็บไว้เพื่ออนุรักษ์ไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานเราได้เข้ามาศึกษาจะได้ไม่หายไปก่อนเวลาอันสมควร แต่ๆไม่ได้อ่านหมดนะคะอ่านแค่ชื่อเรื่องและถ้าผูกไหนไม่มีชื่อเรื่องก็จะนำไปรวมกันและห่อรวมกันไว้ค่ะ ผู้เขียนโล่งใจนึกว่าจะได้อ่านหมด ถ้าอ่านหมดไม่รู้จะได้กลับบ้านตอนไหนเพราะมีเยอะมากเลยค่ะและมีหลากหลายรูปแบบเช่น ฉบับล่องชาด คือเอกสารใบลานที่ลงพื้นด้านข้างเป็นสีแดงด้วยชาดแล้วคาดสลับด้วยสีทองจากทองคำเปลว แต่ในใบลานจริงไม่ค่อยเห็นสีเด่นชัดหรอกค่ะเพราะคิดว่าสีจะหายไปตามกาลเวลา ผู้เขียนก็ไม่รู้รูปแบบมากสักเท่าไหร่เลยยกตัวอย่างมาพอเข้าใจ


            




และสุดท้ายนี้การที่ผู้เขียนได้เข้ามารู้จักใบลานที่มีตัวหนังสือต่างจากปัจจุบันพอสมควรทำให้รู้สึกได้ว่าการที่เรามีภาษาของตัวเองใช้ในประเทศนี้มันดีมากๆ เราควรภูมิใจในภาษาไทยของเราและอยากให้ทุกคนอนุรักษ์ไว้เพราะข้อมูลที่เขียนในใบลานมันสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิต และความเชื่อของคนในท้องถิ่นนั้นๆด้วยเพราะใบลานจะบันทึกเรื่องราวของแต่ละยุคนั้นไว้ให้อยู่ในรูปแบบตัวหนังสือที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ถ้าเราได้ไปเปิดอ่านก็จะเห็นภาพยุคนั้นขึ้นมา



ค่ายภูเรือหรือภูหลอน

 ค่ายภูเรือหรือภูหลอน


ภูเรือเป็นสภานที่ท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องอยากมากางเต็นท์กันโดยเฉพาะฤดูหนาวเพราะที่นี่ยอดภูเรือในตอนเช้ามืดก็จะมีคนคอยไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ปล่อยแสงอันสีส้มออกแดงมาทีละนิดจนเห็นเต็มดวง และผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้มากางเต็นท์ทำกิจกรรมกับอาจารย์และเพื่อน ๆ ต้องบอกไว้ก่อนค่ะว่าก่อนหน้านี้ได้ไปจัดค่ายมาที่โรงเรียนพระแก้วอาสาวิทยาในช่วงเช้าและช่วงบ่ายอาจารย์ได้พาแวะวัดเนรมิตวิปัสสนา พระธาตุศรีสองรักและมุ่งตรงมาที่ภูเรือเพื่อกางเต็นท์นอนกันและทำกิจกรรมกันต่อที่นี่  


พอถึงที่พักกันแล้วนักศึกษาก็พากันขนของลงจากรถและไปจับจองที่นอนกันอย่างทุลักทุเลเพราะจุดกางเต็นท์นั้นอยู่เนินเขา บางคนปูที่นอนเรียบร้อยแล้วก็นอนพักเอาแรงเพื่อตอนเย็นจะได้ทำกิจกรรมต่อ บางคนก็ถ่ายรูป เดินสำรวจพื้นที่บ้าง ส่วนตัวผู้เขียนนี้ได้ไปคุยเล่นกับเพื่อน ๆ ตามประสาสาว ๆ พูดหยอกล้อกันไปมีเรื่องผีบ้างแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะมันอยู่กันตั้งเยอะเลยไม่กลัว เวลาผ่านไปจนพลบค่ำอาจารย์ก็บอกว่าให้ไปกินข้าวเราจะได้มาทำกิจกรรมและรีบเข้านอนเพราะทุกคนก็น่าจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง กิจกรรมในคืนนั้นเราได้นั่งคุยกันกับรุ่นพี่ว่าได้อะไรจากการจัดค่ายนี้และมีปัญหาในด้านใดบ้างจะได้นำไปพัฒนาและจัดในค่ายต่อไป และมีการแสดงคณะตลกอีกสองคณะที่เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างสนุกสนาน จนเวลาผ่านไปดึกดื่นอากาศเริ่มเย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย หมอกในตอนกลางคืนได้พรมมาที่ผมทำให้หัวเย็นราวกับแช่อยู่ในตู้น้ำแข็ง เมื่อถึงเวลางานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา คืนนี้ก็เช่นกันต่างคนก็ต้องไปอาบน้ำเข้านอน ผู้เขียนกับเพื่อน ๆ ได้ทำธุระส่วนตัวและได้เข้านอนกัน แต่ก่อนนอนผู้เขียนได้บอกกับเพื่อน ๆ ว่าอย่าลืมไหว้เจ้าที่เจ้าทางกันนะ และก็ได้หลับไปก่อนคนอื่น ๆ กลางดึกไม่มีเสียงแม้แต่ลมหรือเสียงสิ่งมีชีวิตใดๆเลย ยกเว้นเสียงกรนของเพื่อนผู้เขียนเองที่นอนอยู่ฝั่งขวามือ ในตอนนั้นสะดุ้งตื่นเพราะหนาวมากผ้าห่มที่ห่มไว้ตอนแรกได้หลุดออกจากตัว จึงตื่นขึ้นมาและห่มผ้าแต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับ พลิกซ้ายพลิกขวานับแกะไปร้อยตัวก็นอนไม่หลับ จนมาจบที่นอนหงาย ต้องบอกไว้ก่อนว่าผู้เขียนนอนตรงกลางและเพื่อนอีกสองคนนอนฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเต็นท์ที่พวกเรานอนกันจะเปิดไว้และปิดแค่มุ้ง ถ้าเกิดมองออกไปก็เห็นข้างนอกเลย และจู่ ๆ ในขณะที่กำลังพยายามหลับนั้นผู้เขียนได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรอยู่หน้าเต็นท์ที่พูดแต่ไม่ใช่ภาษาคนจึงพยายามฟังว่าใช่เสียงคนไหมแต่ก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงก้าวเดินตาของผู้เขียนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะหรี่ตามองดูว่ามันคืออะไรจึงตัดสินใจจะไปปลุกเพื่อนที่นอนกรนอยู่ข้าง ๆ แต่แล้วมือยังไม่ทันได้เอื้อมไปถึงเพื่อนก็มีเสียงมาพูดอยู่ข้างหูและพูดชื่อผู้เขียนออกมาด้วยน้ำเสียงช้า ๆ เยือกเย็นและเสียงใหญ่ พอได้ยินเช่นนั้นแล้วผู้เขียนได้หยุดนิ่งตัวแข็งทื่ออย่างกับขอนไม้ จะขยับตัวไปหาเพื่อนทางด้านซ้ายก็ไม่กล้า ได้แต่นอนหงายอยู่อย่างงั้นในหัวไม่ได้คิดอะไรนอกจากสวดมนต์ทุกบทที่จำได้ และคิดในใจว่านี่เราเจอดีเข้าแล้วเหรอ ไหว้เจ้าที่เจ้าทางก็ทำแล้ว ทำไมถึงเจอแบบนี้ ภาวนาให้เช้าไว ๆ เพื่อที่จะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ แต่เวลาในตอนนั้นช่างเนิ่นนานยิ่งรอยิ่งช้า และก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นเวลาเท่าไหร่ไม่กล้าแม้แต่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและได้หลับไปตอนไหนไม่รู้ จนรู้สึกตัวอีกทีเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นทีละเต็นท์ และเสียงคนคุยกันเบา ๆ เสียงคนเดินเหยียบใบไม้ผ่านเต็นท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ในใจตอนนั้นดีใจมากเราผ่านคืนนั้นมาได้และเพื่อนถามว่าเป็นยังไงบ้างหลับสบายไหม เราไม่อยากจะตอบเลยตอนนั้นเลยเก็บเรื่องนี้ไว้ และไปทำธุระส่วนตัวต่อพร้อมที่จะเผชิญลมหนาวที่ยอดภูเรือ 



        เวลาประมาณตีห้าเกือบหกโมงผู้คนก็เต็มยอดภูเรืออากาศตอนนั้น16องศา ลมพัดกระทบหูเหมือนเสียงพายุฝนที่กำลังตกแต่ไม่ใช่นั่นก็แค่ลม ใบของต้นสนที่ต้นทอดสูงยาวได้ปลิวไปมาตามกระแสลม  มองไปทางไหนก็มีแต่คนจับโทรศัพท์กัน เพื่อรอถ่ายพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นมาจากขอบฟ้าในอีกไม่ช้า และแล้วเวลานั้นก็มาถึงทุกคนต่างจ้องไปที่ขอบฟ้า ที่สีมันเริ่มเปลี่ยนจากสีหมอกเป็นสีแดงส้มโทนอุ่น ดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นมานั้นมีขนาดใหญ่กว่าเวลาที่เราเห็นในตอนกลางวัน ไม่แปลกใจเลยทำไมผู้เขียนถึงได้ชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม บวกกับทะเลหมอกในยามเช้าที่มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวที่ธรรมชาติสร้างขึ้นพร้อมกับกลิ่นอายหมอกที่ทำให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดภาพในดวงตาเหมือนกับคำขวัญจังหวัดเลยที่ว่า เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ทำให้เรารู้สึกได้ว่านี่เป็นการเริ่มวันใหม่ที่เราต้องเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ ปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมาเป็นเรื่องของอดีต มันจะทำให้เรามีความสุขขึ้นหลังจากนี้วันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว หลังจากทุกคนได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เดินขึ้นไปเนินเขาอีกนั้นจะมีประดิษฐานพระพุทธรูปนาวาบรรพตอยู่ให้เราได้ไปกราบไหว้สักการะบูชาขอพรก่อนกลับอีกด้วย 


                               

ในค่ายภูเรือนี้ได้ทั้งความรู้ความสนุกสนานและความหลอนกลับไป แต่ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ได้พานักศึกษาออกมามาหาประสบการณ์นอกพื้นที่ ทำให้ได้เรียนรู้หลายอย่าง ได้ทั้งความสุขจากค่ายและความสุขจากธรรมชาติ มันคงจะเป็นค่ายที่ผู้เขียนนั้นได้จดจำไปตลอดชีวิตไม่มีวันลืม





อีกหนึ่งวัดในจังหวัดเลยที่ไม่ควรพลาดเที่ยวชมวัดป่าห้วยลาด

 อีกนึ่งวัดในจังหวัดเลยที่ไม่ควรพลาด

เที่ยวชมวัดป่าห้วยลาด

        วัดป่าห้วยลาดเป็นสถานที่หนึ่งที่ทุกคนได้มาอำเภอภูเรือแล้วต้องไม่พลาด เป็นวัดที่ใหญ่มากและภายในวัดประกอบไปด้วยศาลาที่สร้างขึ้นมาขนาดใหญ่ ข้างหน้าจะมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่สูงจนเกือบสุดสายตาและใหญ่โตมโหฬาร รอบ ๆบริเวณวัดจะมีวิวทิวทัศน์สวย ๆ ไว้ให้ได้ถ่ายรูป ให้ได้ชมและยังมีของฝากจากอำเภอภูเรือที่จะซื้อกลับไปติดไม้ติดมือด้วย




     แดดยามสายที่ใกล้จะเที่ยงสาดส่องเข้าไปที่รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่สูงและสีขาวสง่านั้นทำให้สะดุดตาตั้งแต่ถึงหน้าวัด    และมีศาลาเฉลิมพระเกียรติที่ใหญ่หลังคาสีส้มอิฐและด้านข้างเป็นสีน้ำตาลนั่นก็คือวัดป่าห้วยลาด สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ หมู่ที่ 3 ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ขับเข้ามามีลานจอดรถกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นรถเล็กรถใหญ่สามารถจอดได้หมดเลยค่ะ เข้ามาในวัดทางซ้ายมือจะเจอบ่อปลาขนาดใหญ่และยังมีอาหารปลาเราจึงไม่รอช้ารีบดิ่งตรงเข้าไปให้อาหารปลา ปลาที่นี่มีหลากหลายสายพันธ์และที่สำคัญตัวใหญ่มากตกลงไปคงขึ้นมาไม่ครบสามสิบสอง พอให้อาหารปลาอิ่มแล้วเราก็ขึ้นไปทำบุญที่ศาลาเฉลิมพระเกียรติกันเลย 


        ระหว่างทางขึ้นนั้นจะมีรูปปั้นต่าง ๆ ให้เราได้แวะถ่ายรูปสวย ๆ เช่นพญานาค จระเข้ รูปปั้นเทพต่าง ๆ รูปปั้นทั้งหมดนี้มีให้เราได้ชมความสวยความงามของการสร้างสรรค์ศิลปะแล้วยังมีความเชื่อปนอยู่ในรูปนั้น ๆ ด้วย เอาล่ะถ่ายรูปชมวิวกันอิ่มแล้วขึ้นไปข้างบนศาลากันก็จะมีพระประธานองค์สีขาวขนาดใหญ่อยู่ภายในนั้นให้เราได้กราบไหว้สักการะขอพรกันให้สมหวัง มีทั้งครอบครัวเด็กเล็กผู้ใหญ่มากราบไหว้กันเห็นแล้วอบอุ่นใจแต่ถ้าใครไม่ได้ตั้งใจมาและแต่งตัวไม่ค่อยสุภาพทางวัดมีผ้าซิ่นให้สวมใส่ก่อนเข้าไปไหว้สักการะด้วยนะคะ ออกมารอบ ๆ บริเวณศาลาข้างบน ลมพัดเย็นสบายพร้อมทั้งสบายอกสบายใจที่ได้ทำบุญ ยังมีสะพานให้เราเดินไปชมวิวถ่ายรูปได้อีกค่ะ ถ้ามองจากสะพานก็จะเห็นวิวสระน้ำที่ลมได้พัดกับผิวน้ำอย่างสบายตาและรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่สูงสง่านั้น หลังจากที่ได้ชมวัดเรียบร้อยแล้วลงมาที่โซนของฝากกันเลยค่ะ มีทั้งของพื้นบ้านที่ชาวบ้านนำมาขาย และของฝากทั่วไปค่ะ สามารถเลือกซื้อติดไม้ติดมือก่อนกลับได้เลยค่ะ



         วัดป่าห้วยลาดนี้ให้คุณค่าทั้งทางใจและทางกายเพราะใครที่ได้มาจะได้ชมศิลปะที่ถูกสร้างมาปนกับความเชื่อออกมาเป็นรูปปั้นให้เราได้เห็นและอากาศปลอดโปร่งเป็นที่สุดเพราะแถวนั้นเป็นเนินเขามีต้นไม้เต็มไปหมดค่ะ ได้ทั้งทำบุญทำทานและได้รับบรรยากาศดี ๆ แบบนี้ไม่มาไม่ได้แล้วค่ะ



เที่ยวทำบุญที่วัดเนรมิตวิปัสสนา

 เที่ยวทำบุญที่วัดเนรมิตวิปัสสนา



        สิ่งที่โดดเด่นในจังหวัดเลยสิ่งแรกที่นึกถึงคือถนนคนเดินเชียงคาน        สกายวอล์ค ผีตาโขนที่อำเภอด่านซ้าย พระธาตุศรีสองรัก แต่ๆมีสถานที่หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากพระธาตุศรีสองรักเลยคือวัดเนรมิตวิปัสสนานั่นเอง อยากจะบอกว่าในวัดนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ทั้งโบสถ์ที่ใหญ่และเป็นทรงไทย และมีภาพจิตกรรมบนผนังภายในโบสถ์ รวมไปถึงมีพระพุทธชินราชจำลองให้เราได้กราบไหว้กันด้วย ใครที่เป็นสายบุญต้องไม่พลาดวัดนี้



      บรรยากาศภายในวัดร่มรื่น มีต้นไม้ประดับตกแต่งสวยงาม วัดเนรมิตวิปัสสนานี้ตั้งอยู่ที่ บ้านหัวนายูง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ห่างจากพระธาตุศรีสองรักไม่ไกลนักขับผ่านพระธาตุศรีสองรักอีกหน่อยจะเห็นป้ายอยู่ขวามือเลี้ยวเข้าไปประมาณ500เมตรเท่านั้น สำหรับคนที่ไม่เคยไปอย่างผู้เขียนนี้ นั่งรถมาร้อนจนเหงื่อไหลเป็นเม็ดๆ แต่พอถึงหน้าประตูวัดลมโชยมาทำให้ใจสงบและสยบความร้อนไปด้วย

เดินเข้าไปในโบสถ์ทำบุญทำทานให้อุ่นใจสำหรับคนทางไกลที่มาเที่ยวอย่างเรา กราบไหว้บูชาธูปเทียนดอกไม้และมีตู้หยอดเงินบริจาคตามศรัทธาได้เลยค่ะ แต่ถ้าใครไม่ได้พกเงินสดติดตัวไปด้วยไม่ต้องกังวลถ้าอยากทำบุญทางวัดได้มี QR Code รับเงินสามารถสแกนและบริจาคได้เลยค่ะเพราะผู้เขียนก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน พูดถึงเรื่องความสะดวกสบายในปัจจุบันนี้ก็มีข้อดีแบบนี้นี่เอง

พอไหว้พระขอพรข้างนอกกันเสร็จแล้วเรามาไหว้พระพุทธชินราชจำลอง ที่ประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ข้างในโบสถ์ พอเห็นแล้วรู้สึกจิตใจสงบข้างในจะเห็นเป็นสีทองอร่ามงามตา รวมไปถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยๆ ผู้เขียนไม่เคยมาและไม่เห็นมีผู้เฒ่าผู้แก่อยู่ที่นั่นเลย จึงไปหาข้อมูลใน Google มาได้ความว่าภาพจิตรกรรมบนฝาผนังนี้ถูกสร้างสรรค์ออกมาอย่างงดงาม ซึ่งใช้เวลาวาดนานถึง 8 ปี เป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ ภาพพระเวสสันดรชาดก และภาพทศชาติ ซึ่งมันก็เป็นเหมือนที่เขาบอก ผู้เขียนได้เดินดูภาพรอบๆ จนได้ภาพสวยๆ แล้วจึงออกมาชมข้างนอก







        ส่วนข้างนอกนี้ก็จะมีสวนหญ้าที่สวยงามเต็มไปด้วยไม้ประดับและมี มณฑปพระครูภาวนาวิสุทธิญาณ ที่เห็นเขาบอกว่าทำจากศิลาแดงทั้งหมดแต่น่าเสียดายผู้เขียนได้มองดูอยู่ข้างนอกไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะถึงเวลาที่ต้องเดินทางต่อ สำหรับใครที่มาอำเภอด่านซ้ายต้องไม่พลาดวัดนี้แน่นอนการันตรีเลยว่าคุณจะได้ทั้งบรรยากาศร่มรื่นได้ไหว้พระขอพรอิ่มอกอิ่มใจและยังได้ชื่นชมผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ของวัดนี้อีกด้วย



วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2566

ตำนานพระธาตุศรีสองรัก

 ตำนานพระธาตุศรีสองรัก    

    ทุกคนเคยได้ยินกันไหมคะว่าพระธาตุศรีสองรักมีตำนานหลายอย่างที่ทุกคนยังไม่เคยรู้ ใครที่ได้ยินชื่อพระธาตุศรีสองรักครั้งแรกก็อาจจะคิดว่าเป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของคนสองคนหรือไม่ ในตอนแรกผู้เขียนก็เข้าใจแบบนั้น แต่พอได้ไปหาข้อมูลมาบวกกับมีโอกาสได้ไปไหว้สักการะครั้งหนึ่ง จึงทำให้รู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ เพื่อน ๆ ก็คงอยากรู้เหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ เรามารู้จักพระธาตุศรีสองรักให้มากขึ้นกันเลย




            พระธาตุศรีสองรักถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือกันระหว่างพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา(ไทย) และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง (ลาว) กษัตริย์ทั้งสองจึงตกลงกันว่าจะเป็นไมตรีต่อกันไม่ล้ำเส้นเขตแดนกันอีกด้วย และยังมีเรื่องราวที่เล่าขานกันมาว่าใครที่จะไปสักการะพระธาตุศรีสองรักนี้ห้ามใส่ชุดสีแดงหรือแม้แต่มีสิ่งของที่นำไปไม่ให้มีสีแดง เพราะคนสมัยนั้นคิดว่าสีแดงคือสีของ เลือด ที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างไทยและลาว ก่อนที่จะขึ้นไปสักการะมีป้ายคำเตือนตลอดทางเลยว่าห้ามอะไรบ้าง รวมไปถึงสีแดงห้ามจริง ๆ ผู้เขียนไม่ใช่คนในพื้นที่ จึงอยากรู้ว่าถ้ามีคนใส่ขึ้นไปแล้วจะเป้นอย่างไร จึงไปถามคนแถวนั้นที่อยู่ตรงดอกไม้บูชาได้ความว่า คนที่ใส่ชุดสีแดงขึ้นไปหรือมีอะไรที่ติดตัวสีแดงถ้าได้ขึ้นไปแล้วอาจจะมีอันเป็นไป เพราะเคยมีคนใส่ชุดสีแดงขึ้นไปแล้วพอจะกลับขับรถออกไปยังไม่ถึงไหนเลยเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคนนั้น ชาวบ้านและคนแถวนั้นจึงเชื่อว่าอาจจะเป็นเพราะใส่ชุดสีแดงขึ้นไปไหว้พระธาตุศรีสองรัก มาอีกตำนานหนึ่งเป็นเรื่องราวของเจ้าพ่อกวนและเจ้าแม่นางเทียมเล่ากันมาว่าทั้งสองถูกกีดกันในเรื่องของความรักจึงพากันหนีมาที่พระธาตุแห่งนี้ที่ยังสร้างไม่เสร็จและเข้าไปอยู่ในอุโมงค์พระธาตุช่างไม่รู้จึงปิดอุโมงค์จนทำให้ทั้งสองเสียชีวิตและกลายเป็นวิญญาณเฝ้าพระธาตุแห่งนี้ แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าเรื่องที่เล่ามานี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะผู้อ่านควรใช้พิจารณาในการอ่านให้ถี่ถ้วนว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ค่ะ


 


        ถ้าได้รู้ตำนานกันแล้วเรามาชมสถานที่ในการสร้างพระธาตุนี้เลยค่ะ พระธาตุศรีสองรัก ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหมัน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ถ้าใครอยากมาไหว้สักการะขับมาถึงตัวอำเภอด่านซ้ายแล้ว  พระธาตุนี้ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้นค่ะ พระธาตุศรีสองรักตั้งอยู่สูงต้องได้ขึ้นบันไดขึ้นไปเหนื่อยนิดเดียวก็ถึงข้างบนจะเห็นยอดเจดีย์ของพระธาตุที่มียอดแหลมสีขาวสง่าและ พระพุทธรูปนาคปรกที่อยู่ข้างหน้าของพระธาตุ ต่างก็มีคนไปไหว้สักการะขอพระทั้งผู้ชาย ผู้หญิง วัยรุ่น วัยทอง เต็มไปหมด และยังมีคนที่เดินรอบพระธาตุสามรอบแล้วค่อยมาไหว้ก็มีค่ะ  รอบ ๆ พระธาตุนี้ที่ผู้เขียนได้เดินไปดูสะดุดตาที่แผ่นศิลาจาลึกที่มีภาษาธรรมอีสานจนเต็มแผ่นและถ้าใครที่แปลไม่ออกด้านหลังก็มีแปลให้ด้วยค่ะ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการสร้างพระธาตุนี้

    หลังจากได้ไหว้สักการะและได้รู้ตำนานหลายอย่างเกี่ยวกับพระธาตุนี้แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะที่ได้มา ถ้ามีโอกาสได้มาอีกไม่พลาดแน่นอนค่ะ ใครที่ยังไม่เคยมาอยากให้ได้ลองมาสักครั้งแล้วจะได้รู้ว่าพระธาตุนี้มีอะไรกว่าที่คุณคิด

เดินทางหาประสบการณ์

 เดินทางหาประสบการณ์

    น้องชื่ออะไร น้องชื่ออะไร เอ้า น้องชื่ออะไร น้องชื่ออะไร เอ้า น้องชื่ออะไร น้องชื่อ... น้องชื่อ...ชอบทำท่า อย่างงี้ อย่างงี้ ชอบทำท่า อย่างงี้ อย่างงี้ ทำแล้วสบายใจดี ทำแล้วสบายใจดี ทำท่าแบบนี้สบายใจจัง หลายคนคงเคยได้ร้องเพลงนี้เมื่อมีกิจกรรม รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย เพราะในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมานั้น สาขาวิชาภาษาไทยได้จัดกิจกรรมค่ายวรรณกรรมรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่โรงเรียนพระแก้วอาสาวิทยากิจกรรมในวันนั้นมีทั้งความรู้และความสนุก แต่สำหรับตัวผู้เขียนนี้ได้ประสบการณ์ที่ไม่เคยได้มาก่อน      

      เช้ามืดของวันนั้นได้ออกเดินทางไปที่โรงเรียนพระแก้วอาสาวิทยา การเดินทางด้วยรถโดยสารกับถนนหนทางที่ คดเคี้ยวมันไม่ดีต่อท้องไส้เท่าไหร่ เพื่อน ๆ รวมถึงตัวผู้เขียนนี้ก็มีอาการเดียวกันหมดคือเวียนหัว ต่างคนต่างได้ยาดมยาหม่องติดจมูกกันทั้งนั้น แต่ทว่ามีวิวภูเขาทิวทัศน์อยู่ตลอดเส้นทางจึงได้กินลมชมวิวกันไปด้วย ช่วยให้หายจากอาการเวียนหัวได้นิดหน่อย พอดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงมีแดดอ่อน ๆ สาดมาที่รถของเรา ทุกคนก็รู้แล้วว่าใกล้ถึงเวลาที่ต้องออกไปใช้ทักษะที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พอถึงโรงเรียนแล้วทุกคนช่วยกันยกอุปกรณ์ลงจากรถไปเตรียมไว้เพื่อที่จะสอนน้อง ๆ ในโรงเรียน 


ทุกคนต่างตื่นเต้นจนลืมอาการเวียนไปหมด หลังจากที่ได้แบ่งกลุ่มให้น้อง ๆ ได้ไปแต่ละฐานแล้ว ผู้เขียนได้ไปอยู่ฐานที่2 นั่นก็คือการเขียนคอนเทนต์ ที่จะมีการสอนตั้งแต่วิธีการเขียน คำที่ใช้ในการเขียน คำต้องห้าม มีทั้งเชิงวิชาการและไม่วิชาการ และพอสอนเสร็จก็จะให้น้อง ๆ นำความรู้ที่ได้ในวันนี้ไปเขียนชูสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชน รวมไปถึงโรงเรียนด้วย ในตอนแรกแอบกังวลใจกลัวทำไม่ได้เพราะประสบการณ์ในการเขียนน้อยมาก พึ่งได้เริ่มเขียนตอนปีสองนี่แหละ แต่อย่างว่าคติประจำใจของผู้เขียนคือไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ลองทำ มาถึงตรงนี้แล้วลุยเต็มที่ เหมือนกับเพลงที่กล่าวตอนต้นเลยค่ะพอน้อง ๆมาถึงก็ร้องเพลงสันทนาการน้องก่อนเลย เป็นเพลงที่Basicมากแต่มันทำให้หลายคนคลายความเกร็งออกมาได้หลังจากทุกคนละลายพฤติกรรมเรียบร้อยแล้ว เริ่มเข้าสู่เนื้อหา การสอนเนื้อหานี้ให้พี่ๆมาช่วยสอนคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ส่วนผู้เขียนก็คอยดูน้องไประหว่างสอน หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องเอาความรู้ที่สอนไปออกมาใช้คือการโพสต์คอนเทนต์ลงกลุ่มนั่นเอง น้อง ๆ ให้ความร่วมมือดีมากถือว่าเป็นการรับมือไม่ยากสำหรับมือใหม่อย่างผู้เขียนที่ประสบการณ์น้อย ถึงตอนนี้งัดออกมาทุกไม้เด็ดน้องถามอะไรตอบได้หมดคอยบอกอยู่ข้าง ๆรวมไปถึงตรวจสอบโพสต์ก่อนให้น้องโพสต์ลงเพจ ทุกคนต่างตั้งใจเขียนไม่รู้ว่าอยากใช้ความรู้ที่ได้มาหรืออยากได้รางวัลกันแน่555 เพราะฐานนี้ของรางวัลมากมาย  หลังจากมอบรางวัลเสร็จก็ได้ชมการแสดงคณะตลกจากพี่ๆ ไม่มีคนไหนเลยไม่หัวเราะเลยกับการแสดงชุดนี้ ชมสิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจเสร็จแล้วก็พักรับประทานอาหารกลางวันเพื่อที่จะเดินทางต่อเพราะมีประสบการณ์อีกมากมายที่รอเราอยู่


        สุดท้ายนี้ผู้เขียนอยากจะบอกว่าพอได้ลงมือทำจริงๆ แล้วมันก็ไม่ยากเหมือนที่เราคิดไว้ ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย น้อง ๆ ได้ความรู้พี่ๆ ได้ประสบการณ์ และทุกอย่างที่สอนไปสามรถนำไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทุกอย่าง อย่าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำนะคะฝากไว้ให้คิด

               

มีอะไรในงานดอกฝ้ายบานเมืองเลย สำหรับคนนอกพื้นที่

 มีอะไรในงานดอกฝ้ายบานเมืองเลย

 สำหรับคนนอกพื้นที่

ได้ยินข่าวมาว่ามีการจัดงานดอกฝ้ายบาน สืบสานวัฒนธรรมไทเลยระหว่างวันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ 2566 ณ สนามกีฬากลางจังหวัดเลย ผู้เขียนเองที่มาเรียนอยู่เมืองเลยก็ต้องไม่พลาดงานนี้เลยชวนเพื่อนๆไปเที่ยวชมงานว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ก่อนไปผู้เขียนคิดว่าจะไปชิมของกิน ช้อปเสื้อผ้า เล่นเครื่องเล่นสวนสนุกทั่วไป 


บรรยากาศยามเย็นพระอาทิตย์กำลังตกได้เวลานักล่า เที่ยว ชม ชิม ช้อป เข้างานดอกฝ้ายหลังจากที่ผู้เขียนเดินทางมาถึงสัมผัสได้เลยว่าคงจะมีของดีคนถึงเยอะขนาดนี้ ผู้เขียนได้เดินมุ่งไปหาของกินเลยอันดับแรก555 เพราะกองทับมันต้องเดินด้วยท้อง ภายในงานนั้นก็มีเครื่องเล่นทั่วไปเหมือนงานต่างๆที่จัดขึ้น มันคงจะเป็นแบบนี้ทุก ๆ งานแต่ผู้เขียนไปสะดุดตาที่บริเวณจัดซุ้มต่าง ๆ  ที่แต่ละอำเภอนำมาจัดนิทรรศการ บางอำเภอทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว บางอำเภอทำการอนุรักษ์สัตว์หายากที่พบในอำ แต่ผู้เขียนเดินไปถึงซุ้มนึงที่มีแต่คนเฒ่าคนแก่อยู่ในนั้นและมีผ้าที่ทำจากฝ้าย เห็นป้ายแล้วซุ้มนี้น่าสนใจเข้ากับชื่องานดอกฝ้าย จึงได้แวะเข้าไปชมเสื้อ ผ้าพันคอ ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า ที่ทำจากฝ้าย คุณยายที่อยู่ซุ้มใจดีมากเลยค่ะ ชวนไปนั่งคุยเพราะเห็นเราสนใจ ผู้เขียนเลยได้เข้าไปถามว่าทำไมถึงได้มางานนี้ล่ะคะและฝ้ายเป็นมายังไงทำไมถึงมาเป็นรูปแบบเสื้อผ้าได้คะ คุณยายบอกว่าได้มาขายผ้าฝ้ายที่ตนเองทอนี่แหละพร้อมกับได้มาโชว์ผลงานที่ชมชนตนเองได้ทำเป็นวิสาหกิจชุมชน คุณยายเล่าต่ออีกว่าสมัยนั้นที่ยายเริ่มเข้าไปทำปีแรก มีแค่10กว่าคนสาเหตุที่ได้ตั้งกลุ่มทำผ้าฝ้ายนี้เพราะมีโครงการพระราชดำริให้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมป่าภูหลวง ที่ต้องปลูกต้นฝ้ายและนำมาทอพอแถมยังมีรายได้เข้าชมชนอีกด้วยหลังจากที่คุณยายได้ทำมา 3ปี เริ่มได้ทอผ้าส่งต่างประเทศด้วย นั่นก็คือประเทศญี่ปุ่น พอมีคนสนใจและขายออกเยอะก็เริ่มมีคนมาทำและการอิ้วฝ้ายจากที่ทำด้วยมือก็เปลี่ยนไปอิ้วที่โรงงานเพราะทำไม่ทัน สำหรับขั้นตอนการทำผู้เขียนขอข้ามไปก่อนนะคะ ถ้าอยากรู้ต้องไปดูที่ชุมชนหมู่บ้านกกบก หมู่ที่ 5 ตำบลหนองงิ้ว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลยค่ะถึงจะเข้าถึงเนื้อได้มากกว่านนี้ วันนี้เอาน้ำไปก่อนนะคะ555 ดิฉันถามยายต่อว่าไม่มีเด็กวัยรุ่นไปทอผ้าบ้างหรือคะ คุณยายบอกว่ามีมาตลอดเลยแต่พอเขาโตขึ้นไปเรียนที่อื่นก็ไม่มาทำเป็นแบบนี้ดิฉันคิดว่าอนาคตจะมีคนรุ่นหลังอนุรักษ์การทอผ้าฝ้ายไว้ไหมนะ คุยกับคุณยายเสร็จก็ขอบคุณและได้กลับที่พักเลยเพราะตะวันได้หายไปแล้วมีแต่สีของดวงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างอยู่ตอนนี้ 





วันนี้ผู้เขียนได้รู้แล้วค่ะว่าทำไมงานดอกฝ้ายบานนี้ถึงมีคนเยอะและมีอะไรมากกว่าการได้เที่ยว ชิม ช้อป เป็นความรู้ใหม่ของผู้เขียนเกี่ยวกับการทอผ้าฝ้ายเลยค่ะ น่าชื่นชมคุณยายกลุ่มนี้ที่ยังอนุรักษณ์โครงการนี้ไว้ ถ้ามีโอกาสสามารถมาชมการจัดงานดอกฝ้ายบาน สืบสานวัฒนธรรมไทเลย ได้ทุก ๆ ปี จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้งค่ะ สามารถค้นหาวันที่จัดได้ที่ Google เลยค่ะแต่ละปีก็จัดช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่ถ้าหากจะเข้าถึงมากกว่านี้สามารถเข้าไปชมได้ที่วิสาหกิจชุมชน หมู่บ้านกกบก หมู่ที่ 5 ตำบลหนองงิ้ว อำเภอวังสะวัง จังหวัดเลย ได้เลยค่ะคุณยายใจดีมาก ชวนผู้เขียนไปดูเหมือนกันค่ะถ้ามีโอกาสดิฉันก็อยากจะไปเห็นกับตาเหมือนกันค่ะว่าการทอผ้าฝ้ายนี้ดีอย่างไร 



ออกค่ายหาประสบการณ์อ่านใบลานนับร้อยปี

  ออกค่ายหาประสบการณ์อ่านใบลานนับร้อยปี สวัสดีค่ะนักอ่านทั้งหลาย วันนี้ผู้เขียนมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง เท้าความก่อนว่าเมื่อวันที่25กุมภาพันธ์...